วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2557


                                                             
                                                                    คุณค่าในตนเอง

คำนี้ยังไม่มีคำแปลสำหรับภาษาไทย หรืออาจจะมีแต่ผู้เขียนไม่ทราบ นักการศึกษา ผู้ปกครอง นักธุรกิจ ตลอดจนรัฐบาล กำลังมุ่งสร้าง ประชาชนให้มี self-esteemสูง ซึ่งหมายถึง บุคคลที่มีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง มีความซื่อสัตย์ มีความภูมิใจในผลสำเร็จ ของงาน บุคคลซึ่งมีความคิดริเริ่ม และมีความมุ่งมั่น ที่จะแก้ปัญหา และรับผิดชอบปัญหา ที่จะเกิดตามมา เป็นคนที่คนอื่นรัก และรักคนอื่น เป็นบุคคลที่สามารถควบคุมตัวเอง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของงาน โดยสรุปแล้วคนที่มี self-esteem สูง จะหมายถึงคนที่มีความคิด สร้างสรรค์ มีความรับผิดชอบสูง และซื่อสัตย์
ตรงกันข้ามกับคนที่มี self-esteem ต่ำหรือพฤติกรรมป้องกัน (defensive) คนกลุ่มนี้มักจะต้องการ พิสูจญ์ตัวเอง หรือวิจารณ์คนอื่น ใช้คนอื่น เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง บางคนอาจจะหยิ่ง หรือดูถูกผู้อื่น มักจะไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ไม่มั่นใจว่าตัวเอง จะมีคุณค่า หรือความสามารถ หรือการยอมรับ ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่กล้าที่จะทำอะไร เนื่องจากกลัว ความล้มเหลว คนกลุ่มนี้มักจะวิจารณ์คนอื่น มากกว่าที่จะกระทำ ด้วยตัวเอง และยังพบอีกว่า คนกลุ่มนี้มักจะ ชอบความรุนแรง ติดสุรา ยาเสพติด มีเพศสัมพันธุ์ก่อนวัย
คนที่มี self-esteem จะต้องมีความสมดุลของความต้องการผลสำเร็จ หรืออำนาจ และความรู้จักคุณค่า ความมีเกียรติ และความซื่อสัตย์ ซึ่งอาจจะหมายถึง จิตใต้สำนึก และพฤติกรรมนั่นเอง จิตใต้สำนึกของคนที่มี self-esteem จะต้องรู้จักบาป บุญคุณโทษ รู้สิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี ความสื่อสัตย์ ความมีเกียรติ ส่วนพฤติกรรมของ self-esteem มีความสามารถที่จะคิดแก้ปัญหา เชื่อมั่นในความคิด และความสามารถ ของตัวเอง สามารถเลือกวิธีการตัดสินใจที่ถูกต้อง หากสูญเสียความสมดุลก็จะทำให้เกิดปัญหา เช่น หากจิตใต้สำนึกไม่แข็งแรง หรือสมบูรณ์พอ ก็จะทำให้คนเกิด พฤติกรรมเชื่อมั่นตัวเอง มากเกินไป หยิ่งยโส ดูถูกคนอื่น หากแต่มีแต่จิตใต้สำนึกที่ดี แต่ไม่มีความมุ่งมั่น ที่จะ ประสบผลสำเร็จชีวิต ก็อาจจะไม่ถึงเป้าหมาย ดังนั้นบุคคลที่ชอบพูดถึงแต่ตัวเอง อวดดี ดูถูกคนอื่น คนพาล ชอบเอาเปรียบคนอื่น คนที่กล่าวโทษคนอื่นไม่ถือว่า มี self-esteem
Self-esteem ประกอบด้วย ความตระหนักถึงคุณค่าตนเอง (Self-respect) และ ความเชื่อมั่นในความสามารถตนเอง(Self-efficacy) จนกลายเป็น ภาพแห่งตน (Self-image)

ความตระหนักถึงคุณค่าตนเอง (Self-respect)
ความเชื่อว่า ตนเองมีคุณค่า มีความหมาย มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมผู้อื่น มีสิทธิ มีโอกาสที่จะสำเร็จ ได้รับสิ่งที่มุ่งหวัง มีสุขได้ เช่นเดียวกับผู้อื่น ชีวิตมีค่า สมควรได้รับการดูแลปกป้องให้ดี การได้รับการยอมรับจากคนอื่น

ความเชื่อมั่นในความสามารถตนเอง(Self-efficacy)
ความเชื่อว่า ตนเองสามารถ คิด เข้าใจ เรียนรู้ ตัดสินใจในการแก้ปัญหา การเผชิญหน้ากับความท้าทาย หรืออุปสรรคต่างๆ ในชีวิตได้ ไว้วางใจตนเอง ว่ามีความสามารถ มีพลัง มีประสิทธิภาพ และพึ่งพาตนเองได้


                                                          เครื่องสังเวยพิธีไหว้ครูนาฏศิลป์ไทย





การตั้งเครื่องบูชาและเครื่องสังเวย
-   ที่สำหรับครูปัธยาย  จัดเครื่องสังเวยของสุกและเป็นเครื่องคู่ (คือสิ่งละ ๒ ที่)
-  ที่สำหรับครูดนตรีอยู่ทางขวามือ จัดเครื่องสังเวยของสุกเครื่องคู่
-  ที่องค์พระพิราพทางด้านซ้ายมือ จัดเครื่องสังเวยของดิบเป็นเครื่องคู่
-  ที่พระภูมิจัดเครื่องสังเวยของสุกเครื่องเดี่ยว
-  ที่ตรงหน้าเครื่องปี่พาทย์วงที่ใช้บรรเลงในพิธี จัดเครื่องสังเวยของสุกเครื่องเดี่ยว
รายละเอียดสังเวย มีดังนี้
  บายศรีปากชาม๔  คู่หัวหมูสุก๓  คู่ดิบ๑  คู่
  มะพร้าวอ่อน๔  คู่เป็ดสุก๓  คู่ดิบ๑  คู่
  กล้วยน้ำ๔  คู่ไก่สุก๓  คู่ดิบ๑  คู่
  ผลไม้ ๗ อย่าง๔  คู่กุ้งสุก๓  คู่ดิบ๑  คู่
  อ้อยทั้งเปลือก๑  คู่ปลาสุก๓  คู่ดิบ๑  คู่
  เผือก มัน ถั่ว งา นม เนย๔  คู่ปูสุก๓  คู่ดิบ๑  คู่
  เหล้า๔  คู่หัวใจ ตับ หมูดิบ๑  คู่
  เครื่องกระยาบวช๔  คู่ไข่ไก่ดิบ๑  คู่
  ขนมต้มแดง ขาว๔  คู่หมูหนาม๔  คู่
  เครื่องจิ้ม๔  คู่ข้าวเหนียวหน้าเนื้อ หรือมะตะบะ ๑ คู่
  หมาก พลู บุหรี่ ไม้ขีดไฟ๔  คู่น้ำเย็น๔  คู่
  บุหรี่ กับ ชา๔  คู่
     จัดสิ่งของเหล่านี้ให้ครบไม่ขาดไม่เกิน  นอกจากเครื่องบูชาและเครื่องสังเวยแล้ว ยังมีเครื่องกำนล ประกอบด้วย ขัน ๑ ใบ เงิน ๖ บาท ผ้าห่มหรือผ้าเช็ดหน้า ๑ ผืน เทียนขี้ผึ้งขาว ๓ เล่ม ดอกไม้ ธูป บุหรี่ ไม้ขีดไฟ และหมากพลู ๓ คำ ใช้ทั้งประธานในพิธีและผู้เข้าครอบครู


                                                                    
                                                                       รำวงมาตรฐาน

รำวงมาตรฐาน เป็นการแสดงที่มีวิวัฒนาการมาจาก รำโทน เป็นการรำและร้องของชาวบ้าน ซึ่งจะมีผู้รำทั้งชาย และหญิง รำกันเป็นคู่ ๆ รอบ ครกตำข้าวที่วางคว่ำไว้ หรือไม่ก็รำกันเป็นวงกลม โดยมีโทนเป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะ ลักษณะการรำ และร้องเป็นไปตามความถนัด ไม่มีแบบแผนกำหนดไว้ คงเป็นการรำ และร้องง่าย ๆ มุ่งเน้นที่ความสนุกสนานรื่นเริงเป็นสำคัญ เช่น เพลงช่อมาลี เพลงยวนยาเหล เพลงหล่อจิงนะดารา เพลงตามองตา เพลงใกล้เข้าไปอีกนิด ฯลฯ ด้วยเหตุที่การรำชนิดนี้มีโทนเป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะ จึงเรียกการแสดงชุดนี้ว่า รำโทน ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี รับบาลตระหนักถึงความสำคัญของการละเล่นรื่นเริงประจำชาติ และเห็นว่าคนไทยนิยมเล่นรำโทนกันอย่างแพร่หลาย ถ้าปรับปรุงการเล่นรำโทนให้เป็นระเบียบทั้งเพลงร้องลีลาท่ารำ และการแต่งกาย จำทำให้การเล่นรำโทนเป็นที่น่านิยมมากยิ่งขึ้น จึงได้มอบหมายให้กรมศิลปากรปรับปรุงรำโทนเสียใหม่ให้เป็นมาตรฐาน มีการแต่งเนื้อร้อง ทำนองเพลงและนำท่ารำจากแม่บทมากำหนดเป็นท่ารำเฉพาะแต่ละเพลงอย่างเป็นแบบแผน

เพลง

รำวงมาตรฐาน ประกอบด้วยเพลงทั้งหมด ๑๐ เพลง กรมศิลปากรแต่งเนื้อร้องจำนวน ๔ เพลง คือ เพลงงามแสงเดือน เพลงชาวไทย เพลงรำซิมารำ เพลงคืนเดือนหงาย ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม แต่งเนื้อร้องเพิ่มอีก ๖ เพลง คือ เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ เพลงดอกไม้ของชาติ เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า เพลงหญิงไทยใจงาม เพลงบูชานักรบ เพลงยอดชายใจหาญ ส่วนทำนองเพลงทั้ง ๑๐ เพลง กรมศิลปากร และกรมประชาสัมพันธ์เป็นผู้แต่ง จากการสัมภาษณ์นางสุวรรณี ชลานุเคราะห์ ศิลปินแห่งชาติ สาชาศิลปะการแสดง (นาฏศิลป์ไทย) ปีพุทธศักราช ๒๕๓๓ อธิบายว่า ท่ารำเพลงรำวงมาตรฐานประดิษฐ์ท่ารำโดย นางลมุล ยมะคุปต์ นางมัลลี คงประภัศร์ และนางศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ไทย วิทยาลัยนาฏศิลป ส่วนผู้คิดประดิษฐ์จังหวะเท้าของเพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ คือนางจิตรา ทองแถม ณ อยุธยา อาจารย์ใหญ่โรงเรียนสังคีตศิลป ปัจจุบันคือ วิทยาลัยนาฏศิลป ปีพ.ศ. ๒๔๘๕ – ๒๔๘๖ เมื่อปรับปรุงแบบแผนการเล่นรำโทนให้มีมาตรฐาน และมีความเหมาะสม จึงมีการเปลี่ยนแปลงชื่อจากรำโทนเป็น “รำวงมาตรฐาน” อันมีลักษณะการแสดงที่เป็นการรำร่วมกันระหว่างชาย – หญิง เป็นคู่ ๆ เคลื่อนย้ายเวียนไปเป็นวงกลม มีเพลงร้องที่แต่งทำนองขึ้นใหม่ มีการใช้ทั้งวงปี่พาทย์บรรเลงเพลงประกอบ และบางเพลงก็ใช้วงดนตรีสากลบรรเลงเพลงประกอบ ซึ่งเพลงร้องที่แต่งขึ้นใหม่ทั้ง ๑๐ เพลง

ชื่อเพลงท่ารำหมายเหตุ
คืนเดือนหงายสอดสร้อยมาลาแปลง
งามแสงเดือนสอดสร้อยมาลา
ชาวไทยชักแป้งผัดหน้า
ดวงจันทร์ขวัญฟ้าช้างประสานงา ,จันทร์ทรงกลดแปลง
ดวงจันทร์วันเพ็ญแขกเต้าเข้ารัง ,ผาลาเพียงไหล่
ดอกไม้ของชาติรำยั่ว
บูชานักรบหญิง - ท่าขัดจางนาง ,ท่าล่อแก้ว
ชาย - ท่าจันทร์ทรงกลดต่ำ ,ท่าขอแก้ว
ยอดชายใจหาญหญิง - ชะนีร่ายไม้
ชาย - ท่าจ่อเพลิงกัลป์
รำมาซิมารำรำส่าย
หญิงไทยใจงามพรหมสี่หน้า ,ยูงฟ้อนหาง

การแต่งกาย[แก้]

เครื่องแต่งกายของรำวงมาตรฐาน ประกอบด้วย ๔ แบบดังนี้
  • แบบที่ ๑ แบบชาวบ้าน
ชาย นุ่งผ้าโจงกระเบน สวมเสื้อคอพวงมาลัย เอวคาดผ้าห้อยชายด้านหน้า
หญิง นุ่งโจงกระเบน ห่มผ้าสไบอัดจีบ ปล่อยผม ประดับดอกไม้ที่ผมด้านซ้าย คาดเข็มขัด ใส่เครื่องประดับ
  • แบบที่ ๒ แบบรัชกาลที่ ๕
ชาย นุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อราชประแตน ใส่ถุงเท้า ร้องเท้า
หญิง นุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อลูกไม้ สไบพาดบ่าผูกเป็นโบว์ ทิ้งชายไว้ข้างลำตัวด้านซ้าย ใส่เครื่องประดับมุก
  • แบบที่ ๓ แบบสากลนิยม
ชาย นุ่งกางเกง สวมสูท ผูกไท้
หญิง นุ่งกระโปรงป้ายข้าง ยาวกรอมเท้า ใส่เสื้อคอกลม แขนกระบอก
  • แบบที่ ๔ แบบราตรีสโมสร
ชาย นุ่งกางเกง สวมเสื้อพระราชทาน ผ้าคาดเอวห้อยชายด้านหน้า
หญิง นุ่งกระโปรงยาวจีบหน้านาง ใส่เสื้อจับเดรป ชายผ้าห้อยจากบ่าลงไปทางด้านหลัง เปิดไหล่ขวา ศีรษะทำผมเกล้า

                                                                    ลงสรงโทน


ประวัติความเป็นมา

             ชุดอิเหนาลงสรงโทน  เป็นชุดการแสดงที่แทรกอยู่ในละครเรื่องอิเหนา  ตอนจากเมืองหมันยา  ยกทัพไปช่วยกรุงดาหา  ซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  รัชกาลที่ ๒  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
              เนื้อเรื่องย่อชุดอิเหนาลงสรงโทน  กล่าวตั้งแต่อิเหนาได้รับพระราชสาสน์จากท้าวกุเรปันพระบิดา  ให้ไปรบกับท้าวกะหมังกุหนิงที่ยกทัพมาจะตีเมืองดาหา  ท้าวกุเรปันเกรงว่าหากเมืองดาหาพ่ายแพ้  ก็จะทำให้เสียวงศ์เทวัญ  จึงกำชับให้อิเหนายกทัพไปช่วยเมืองดาหา  อิเหนาจึงอาบน้ำแต่งตัวแล้วลานางจินตะหรา  นางมาหยารัศมีและนางสะการะวาตี  ภรรยาทั้ง ๓  เพื่อไปเมืองดาหา
 ลักษณะและรูปแบบการแสดง
            ชุดอิเหนาลงสรงโทน เป็นการแสดงประเภทรำเดี่ยว  ที่อวดลีลาท่ารำที่งดงามตามแบบแผนนาฏศิลป์ไทยของตัวละครที่มีท่วงท่าลีลาที่สง่างาม  ลักษณะการรำจะเน้นการตีบทตามบทร้อง  การเล่นเท้าที่ชำนาญของผู้แสดง  ใช้ภาษานาฏศิลป์ตีบทตามจารีตของการแสดงนาฏศิลป์ไทยในเรื่องของการแต่งกายที่วิจิตรงดงาม  คือการแต่งกายยืนเครื่องพระตามลำดับขั้นตอน  ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลีลาท่ารำของตัวละครที่เป็นตัวเอกของเรื่องที่จะสรงน้ำ  แต่งกายให้งดงามสมเกียรติยศเพื่อไปประกอบภารกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง  เช่นเดียวกับการแสดงในชุดนี้คืออิเหนาอาบน้ำแล้วแต่งกายเพื่อเดินทางไปช่วยท้าวดาหา
การแต่งกาย
            ชุดอิเหนาลงสรงโทนเป็นบทบาทของตัวอิเหนา  ซึ่งเป็นตัวเอกหรือพระเอกของเรื่องซึ่งจะแต่งกายยืนเครื่องพระ มีการแต่งกายดังนี้
รูปการแต่งกายชุดอิเหนาลงสรงโทนดูจาก CD-ROM
การแต่งกายแบบยืนเครื่องพระ มีดังนี้
            -    กำไลเท้า
            -    สนับเพลา
            -    ผ้านุ่งหรือภูษา
           -    เสื้อหรือฉลององค์แขนยาว
           -    รัดสะเอวหรือรัดองค์
           -    ห้องข้างหรือเจียระบาด  หรือชายแครง
           -    ห้อยหน้าหรือชายไหว
           -    เข็มขัดและปั้นเหน่ง
           -    กรองคอ
           -    อินทรธนู
           -    ทับทรวง
           -    พาหุรัด
           -    สังวาล
           -    ตาบทิศ
           -    ชฎา
           -    ดอกไม้เพชร
           -    จอนหู
           -    ดอกไม้ทัด(ด้านขวา)
           -    อุบะ
           -    ธำมรงค์หรือแหวน
           -    ทองกรหรือกำไลแผง
           -    แหวนรอบ
           -    ปะวะหล่ำ
           -    กริช
เครื่องดนตรี
             เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดงชุดอิเหนาลงสรงโทนคือวงปี่พาทย์เครื่องห้า  ประกอบด้วยปี่ใน  ระนาดเอก  ฆ้องวงใหญ่  กลองทัด  ตะโพนและฉิ่ง
รูปวงปี่พาทย์เครื่องห้าดูจาก CD-ROM
เนื้อร้องและทำนองเพลง
ปี่พาทย์ทำเพลงต้นเข้าม่าน
ร้องเพลงลงสรงโทน
                                  ทรงภูษาแย่งยกกระหนกกระหนาบ             ฉลององค์เข้มขาบคดกริช
                     ห้อยหน้าปักทองกรองดอกชิด                                 สังวาลวรรณวิจิตรจำรัสเรือง
                     ทับทรวงพวงเพชรเม็ดแตง                                     ทองกรแก้วแดงประดับเนื่อง
                     ธำมรงค์รจนาค่าเมือง                                             อร่ามเรืองเพชรรัตน์ตรัสไตร
                     ทรงมงกุฎกรรเจียกจรสุวรรณ                                   วาวแววแก้วกุดั่นดอกไม้ไหว
                     ห้อยอุบะบุหงามาลัย                                               เหน็บกริชฤทธิไกรแล้วไคลคลา
ปี่พาทย์ทำเพลงเสม
ความหมายของเนื้อเพลง
           ชุดอิเหนาลงสรงโทน  มีความหมายว่าอิเหนาแต่งกายนุ่งผ้านุ่ง  จีบโจงหางหงส์  สวมกางเกงหรือสนับเพลาลายกนก  สวมเสื้อสีน้ำเงินแก่อมม่วงลายคดกริช  ห้อยหน้าปักด้วยไหมทองลายดอกชิดกัน  สวมสังวาลลวดลายวิจิตรอร่ามเรือง  สวมทับทรวงมีพลอยแดงอยู่ตรงกลาง  สวมทองกรประดับด้วยแก้วแดงประดับทั้งตัว  สวมแหวนที่ประดิษฐ์งดงามสมค่าของความงามคู่เมือง  สวยงามด้วยเพชรที่ประดิษฐ์เป็นรูปร่างต่างๆอย่างสวยงาม  สวมมงกุฎมีกรรเจียกจอนหูทำด้วยทองแกมแก้ว  ประดับลายด้วยดอกไม้ไหว  ทัดดอกไม้ห้อยอุบะด้านขวา  เหน็บกริช(อาวุธของอิเหนา)ที่แสดงถึงอิทธิฤทธิ์เนื่องจากเป็นอาวุธประจำกายของอิเหนา  แสดงถึงความมีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกร  เมื่อแต่งกายเสร็จแล้วก็เตรียมเดินทางมาลานางจินตะหรา มาหยารัศมีและสะการะวาตี   เพื่อไปช่วยเมืองดาหา
ท่ารำ
           ชุดอิเหนาลงสรงโทนนี้มีลีลาท่ารำและกระบวนท่าที่สง่างาม  เนื่องจากเป็นบทบาทของอิเหนา  มีการเล่นเท้า  ลักคอใช้ตัวด้วยลีลาท่ารำที่สอดคล้องตามแบบนาฏศิลป์ไทย
 โอกาสที่ใช้แสดง
           ชุดอิเหนาลงสรงโทนใช้แสดงได้ ๒ โอกาสคือ
                      ๑.  เป็นชุดประกอบการแสดงละครใน  เรื่องอิเหนา  ตอนจากเมืองหมันหยา  ยกทัพไปกรุงดาหา
                      ๒.  เป็นการรำเดี่ยวในชุดมาตรฐาน  ซึ่งใช้แสดงในงานทั่วไป